
สยามร่วมค้า | ศูนย์รวมอุปกรณ์ป้องกันสายไฟและท่อลมอุตสาหกรรมมาตรฐานสากล
รางกระดูกงูเหล็ก (Steel Cable Drag Chain) คือ อุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อจัดเก็บและนำทางสายไฟ สายลม หรือสายไฮดรอลิกให้เคลื่อนที่ไปพร้อมกับเครื่องจักร โดยไม่ให้สายพันกันหรือเสียหายระหว่างการใช้งาน โดยทั่วไปตัวรางทำจากเหล็กชุบกัลวาไนซ์ หรือสแตนเลส ทำให้มีความแข็งแรงสูง ทนต่อแรงดึง แรงกระแทก และการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีความร้อนหรือสารเคมีได้ดี นำทางสายไฟหรือสายต่าง ๆ ให้เคลื่อนที่ตามแนวของเครื่องจักร
เป็นอุปกรณ์สำคัญในการจัดระเบียบสายไฟ สายลม หรือสายไฮดรอลิกต่าง ๆ ในเครื่องจักรอุตสาหกรรม โดยเฉพาะเครื่องจักรที่มีการเคลื่อนที่ต่อเนื่อง เช่น แกน X-Y ของเครื่อง CNC, แขนกลอัตโนมัติ หรือเครื่องจักรในโรงงานผลิตที่ต้องการความแข็งแรงและความทนทานสูง เหมาะสำหรับเครื่องจักรที่มีการเคลื่อนไหวต่อเนื่อง เช่น เครื่อง CNC, แขนกล, เครื่องตัดอัตโนมัติ, และสายพานลำเลียงในโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ
การเว้นช่องว่างอย่างน้อย 10% ทั้งในด้านความกว้างและความสูงภายในรางเคเบิลเป็นสิ่งสำคัญมากในการติดตั้งและใช้งานเพื่อป้องกันการสึกหรอและลดโอกาสเกิดความเสียหายกับสายเคเบิลหรือสายพาน โดยการทำตามแนวทางนี้ จะช่วยให้การติดตั้งและใช้งานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เราสามารถทำได้ตามแนวทางดังนี้:
รัศมีการดัดโค้ง (Bending Radius) ของกระดูกงูมีจุดสำคัญที่ต้องพิจารณาดังนี้
ควรพิจารณาจากความซับซ้อนของสายไฟ จำนวนสาย และความต้องการด้านความปลอดภัยในการใช้งาน โดยทั้งสองแบบมีข้อดีเฉพาะด้านที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการในแต่ละประเภทของงานอุตสาหกรรมได้อย่างครอบคลุมได้รับความนิยมอย่างมากในงานอุตสาหกรรม เนื่องจากมีคุณสมบัติที่โดดเด่นทั้งด้านความแข็งแรงและความยืดหยุ่นในการใช้งาน:
แผ่นรองรับสาย (Support Plate) สามารถปรับแต่งรูเจาะได้ตามขนาดของสายที่ใช้งาน ช่วยให้สามารถรองรับสายไฟ สายลม หรือสายไฮดรอลิกหลายขนาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การออกแบบแบบประกบ (Split Plate) ช่วยให้สายไฟถูกยึดอย่างแน่นหนา ไม่เลื่อนหลุดขณะใช้งาน เพิ่มความปลอดภัยในระบบสาย
ช่วยกระจายน้ำหนักของสายไฟอย่างสมดุล ป้องกันสายถูกดึงหรือกดทับมากเกินไป โดยเฉพาะเมื่อต้องเคลื่อนไหวต่อเนื่องในระบบอัตโนมัติ
โครงสร้างเหล็กแข็งแรง รองรับงานหนักได้ดี ทนต่อแรงดึง การสั่นสะเทือน และอุณหภูมิสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
| รูปแบบโครงราง | รายละเอียด | เหมาะสำหรับงานประเภท |
|---|---|---|
| Split Plate (แบบประกบ) | แผ่นรองรับสายเป็น 2 ชิ้น สามารถถอด-ใส่ได้ง่าย ไม่ต้องดึงสายผ่านช่องราง เหมาะกับสายขนาดใหญ่หรือจำนวนมาก | งานที่มีสายหลายเส้น / ต้องการเปลี่ยนสายบ่อย / ต้องการความมั่นคงสูง |
| Frame Type (แบบโปร่ง) | มีช่องเปิดในตัวโครงราง สอดสายผ่านได้รวดเร็ว ติดตั้งง่าย ประหยัดเวลาในการเดินสาย | งานทั่วไป / งานติดตั้งชั่วคราว / สภาพแวดล้อมสะอาดและไม่มีฝุ่นหรือของแข็งตกค้าง |
✅ เลือกแบบไหนดี?
.
การเลือกใช้กระดูกงูที่เหมาะสม ควรพิจารณาจากประเภทของสายไฟ ปริมาณสาย การใช้งานจริง และสภาพแวดล้อมรอบข้าง เพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และยืดอายุการใช้งานของสายไฟในระยะยาว
รางกระดูกงูเหล็ก (Steel Cable Drag Chain) เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยจัดเก็บและนำทางสายไฟ สายลม หรือสายไฮดรอลิกในเครื่องจักรที่มีการเคลื่อนไหวต่อเนื่อง โดยเฉพาะในสายการผลิตอัตโนมัติ เครื่อง CNC และระบบแขนกล ซึ่งต้องการความมั่นคงและปลอดภัยในการเดินสาย
ข้อได้เปรียบของแบบ Split Plate คือ การยึดสายแน่น ไม่เลื่อนหลุดแม้ในสภาพแวดล้อมที่มีแรงสั่นสะเทือน ช่วยกระจายน้ำหนักของสายไฟได้สม่ำเสมอ และเสริมความปลอดภัยให้ระบบไฟฟ้าในเครื่องจักร
ในทางกลับกัน แบบ Frame Type แม้จะติดตั้งง่ายและมีต้นทุนต่ำกว่า แต่ไม่สามารถป้องกันฝุ่น น้ำมัน หรือแรงกระแทกได้เท่าแบบปิดหรือแบบประกบ จึงเหมาะกับสภาพแวดล้อมทั่วไปที่ไม่รุนแรงมาก
✅ 1. ประเภทของสายไฟหรือสายสื่อสาร ชนิดของสายไฟหรือสายที่ต้องการใช้งานเป็นปัจจัยแรกที่ควรพิจารณา เช่น สายไฟฟ้า สายสัญญาณ สายลม สายน้ำ สายไฮดรอลิก หรือสายไฟแรงสูง ซึ่งมีคุณสมบัติทางกายภาพแตกต่างกัน เช่น ความแข็ง ความยืดหยุ่น และความไวต่อการเสียดสีที่เลือกใช้ต้องมีโครงสร้างที่สามารถรองรับสายเหล่านี้ได้โดยไม่ทำให้เกิดการบีบงอ หักงอ หรือเสียหาย
✅ 2. ปริมาณสายภายในราง จำนวนของสายที่ต้องเดินภายในรางเป็นอีกจุดสำคัญ ควรเผื่อพื้นที่ว่างประมาณ 10–20% เพื่อให้สายสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระโดยไม่เสียดสีกันเองหรือกับโครงรางมากเกินไป ซึ่งจะช่วยลดการสึกหรอ และยืดอายุการใช้งานของสาย รวมถึงรองรับการเพิ่มสายในอนาคตด้วย
✅ 3. ลักษณะการใช้งานจริง การใช้งานจริง เช่น ความเร็วในการเคลื่อนที่ ความถี่ของการใช้งาน (ชั่วโมง/วัน) ทิศทางการเคลื่อนที่ (แนวราบ แนวตั้ง หรือหลายมิติ) รวมถึงน้ำหนักของสายรวมทั้งหมด จะเป็นตัวกำหนดว่า ควรใช้รางที่มีความแข็งแรงระดับใด เช่น
✅ 4. สภาพแวดล้อมของพื้นที่ใช้งาน สภาพแวดล้อม เช่น มีฝุ่น เศษโลหะ น้ำมัน ความร้อน ความชื้น หรือสารเคมี อาจมีผลต่อวัสดุของราง โดย
✅ 5. ความเหมาะสมของขนาดรางและรัศมีโค้ง (Bending Radius) การเลือกขนาดของรางให้เหมาะสมกับเส้นผ่านศูนย์กลางของสายเป็นสิ่งสำคัญ ต้องคำนวณทั้ง ความกว้าง และ ความสูง ให้พอดี และเลือกรัศมีโค้งที่เหมาะสมกับสาย เพื่อไม่ให้เกิดการดัดโค้งที่เกินขีดจำกัดของสายไฟ ซึ่งอาจทำให้สายชำรุดหรือเสียหายเร็วขึ้น
✅ 6. ผลลัพธ์ของการเลือกใช้อย่างเหมาะสม หากพิจารณาปัจจัยทั้งหมดอย่างครบถ้วน จะช่วยให้สามารถปกป้องสายได้ดีในระยะยาว ลดโอกาสเกิดปัญหา เช่น สายหลุด สายขาด สายหักงอ หรือไฟฟ้าลัดวงจร ซึ่งส่งผลให้ระบบทำงานได้อย่างต่อเนื่อง มีเสถียรภาพ และลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงหรือเปลี่ยนอุปกรณ์ในอนาคต
1. ขนาดของสายไฟหรือสายอื่น ๆ ก่อนเลือกขนาด ควรวัด เส้นผ่านศูนย์กลางของสาย ทุกเส้นที่ต้องการใส่ลงไป โดยแนะนำให้ เผื่อพื้นที่ว่างประมาณ 10–20% เพื่อให้สายเคลื่อนที่ได้อิสระ ไม่เสียดสีกัน และไม่แน่นจนเกินไป ซึ่งจะช่วยลดความร้อนและยืดอายุของสาย
2. จำนวนของสายทั้งหมด ต้องรู้จำนวนสายทั้งหมดที่ต้องเดินภายในราง รวมถึงการวางเรียงสายภายใน (แนวนอนหรือแนวตั้ง) การวางสายอย่างเป็นระเบียบและไม่เบียดกันเกินไปจะช่วยให้การใช้งานมีเสถียรภาพ และป้องกันการสึกหรอในระยะยาว
3. ความสูงและความกว้างภายในของราง (Inner Height & Inner Width)
4. รัศมีการโค้งงอ (Bending Radius) สายไฟและท่อต่าง ๆ มีรัศมีโค้งขั้นต่ำที่ปลอดภัย ต้องรองรับรัศมีนั้นได้ โดยทั่วไปแนะนำให้ใช้รัศมีโค้งอย่างน้อย 10–15 เท่าของเส้นผ่านศูนย์กลางของสายที่ใหญ่ที่สุด เพื่อป้องกันสายหักหรืองอเกินพิกัด
5. ความยาวช่วงเคลื่อนที่ (Stroke Length) ความยาวที่รางต้องเคลื่อนที่ซ้าย-ขวา หรือเข้า-ออก ส่งผลต่อความยาวรางที่ต้องใช้ รวมถึงตำแหน่งจุดยึด และลักษณะของรางที่สามารถพับกลับได้อย่างเหมาะสม
6. น้ำหนักรวมของสายภายในราง หากน้ำหนักรวมของสายมีมาก อาจต้องเลือกขนาดรางที่มีความแข็งแรง และเพิ่มความถี่ของจุดยึด เพื่อไม่ให้รางแอ่นหรือเสียรูปขณะเคลื่อนที่