สยามร่วมค้า | ศูนย์รวมอุปกรณ์ป้องกันสายไฟและท่อลมอุตสาหกรรมมาตรฐานสากล

ท่อ corrugated

ท่อ Corrugated (Posttensioned Duct) คือท่อเหล็กเคลือบสังกะสีที่มีลักษณะเป็นลูกฟูกตลอดแนว ซึ่งออกแบบมาเฉพาะสำหรับงานโครงสร้างคอนกรีตอัดแรง (Post-Tensioned Concrete) โดยเฉพาะ จุดเด่นของท่อนี้อยู่ที่ตะเข็บแบบ Double Seam ซึ่งเป็นเกลียวยาวและแข็งแรง ช่วยให้คอนกรีตสามารถยึดเกาะได้แน่นยิ่งขึ้น เพิ่มความมั่นคงให้กับโครงสร้าง

การใช้งานหลักของท่อ Corrugated

ใช้เป็นทางเดินของลวดเหล็กหรือสายเคเบิลแรงดึง (Tendon) ภายในระบบคอนกรีตอัดแรง เมื่อลวดถูกดึงและยึดไว้ จะถ่ายแรงให้กับคอนกรีต ทำให้รับน้ำหนักได้มากขึ้น ทนต่อแรงดัดงอ และลดการแตกร้าว ประเภทของท่อคอลลูเกต แบ่งได้ 2 แบบหลัก: แบบทรงกลม (Corrugated Round Duct) – ใช้ในงานทั่วไป เหมาะกับพื้นที่ที่มีช่องว่างมาก แบบทรงแบน (Corrugated Flat Oval Duct) – เหมาะกับงานพื้นคอนกรีตบางหรืองานที่มีข้อจำกัดด้านความสูง

การวัดขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของท่อ (Diameter)

  • การวัดเส้นผ่านศูนย์กลางภายใน (Internal Diameter – ID):
    การวัดเส้นผ่านศูนย์กลางภายในของท่อ (ID) ทำได้โดยการใช้เครื่องมือวัดที่มีขนาดที่สามารถวัดได้ตรงกับขนาดภายในของท่อ เช่น เวอร์เนีย หรือเครื่องมือวัดขนาดท่อที่มีความแม่นยำสูง เมื่อวัดค่า ID อย่างถูกต้อง จะช่วยให้เลือกท่อที่มีขนาดเหมาะสมกับการใช้งาน เช่น ระบบระบายอากาศหรือระบบส่งของเหลวในท่อ.
  • การวัดเส้นผ่านศูนย์กลางภายนอก (External Diameter – OD):
    การวัดเส้นผ่านศูนย์กลางภายนอกของท่อ ท่อคอลลูเกต (OD) ทำได้โดยการใช้เครื่องมือวัดที่เหมาะสม เช่น ไมโครมิเตอร์ หรือเครื่องมือวัดขนาดที่สามารถวัดได้ตรงกับเส้นผ่านศูนย์กลางภายนอกของท่อ หากต้องการคำนวณค่า OD จากเส้นรอบวง สามารถทำได้โดยการวัดเส้นรอบวงของท่อแล้วนำค่ามาหารด้วยค่าคงที่ (π หรือ 3.1416) เพื่อหาค่าเส้นผ่านศูนย์กลางที่ถูกต้อง.
  • การเลือกเครื่องมือวัดที่เหมาะสม:
    เพื่อให้การวัดเส้นผ่านศูนย์กลางทั้งภายในและภายนอกเป็นไปได้อย่างแม่นยำ ควรเลือกเครื่องมือวัดที่มีความละเอียดสูงและเหมาะสมกับประเภทท่อที่ใช้งาน ตัวอย่างเช่น การใช้เวอร์เนียแบบดิจิตอลเพื่อความสะดวกและแม่นยำในการวัด หรือการใช้ไมโครมิเตอร์สำหรับท่อขนาดเล็กที่ต้องการความแม่นยำสูง.
  • การคำนวณเส้นผ่านศูนย์กลางจากเส้นรอบวง:
    หากการวัดเส้นผ่านศูนย์กลางเป็นเรื่องยากหรือไม่สะดวก สามารถใช้วิธีการคำนวณจากเส้นรอบวง (Circumference) ของท่อได้ โดยการวัดเส้นรอบวงแล้วนำค่ามาหารด้วยค่า π (3.1416) จะได้ค่าเส้นผ่านศูนย์กลางของท่อ ซึ่งการคำนวณนี้เป็นวิธีที่ใช้กันบ่อยในกรณีที่ไม่สามารถวัดตรงกับเส้นผ่านศูนย์กลางได้

เครื่องมือวัดเส้นรอบวง (Circumference Tape or Measuring Tape): ในกรณีที่การวัดเส้นผ่านศูนย์กลางตรงๆ ไม่สามารถทำได้ หรือเป็นท่อขนาดใหญ่ การวัดเส้นรอบวง (Circumference) ของท่อแล้วคำนวณเส้นผ่านศูนย์กลางสามารถทำได้โดยใช้เครื่องมือวัดเช่น เทปวัดที่มีความยืดหยุ่นและสามารถพันรอบท่อได้ จากนั้นใช้สูตรคำนวณเส้นผ่านศูนย์กลางโดยการหารเส้นรอบวงด้วยค่า π (ประมาณ 3.1416).
เวอร์เนียคาลิปเปอร์ (Vernier Caliper): เครื่องมือวัดที่นิยมใช้ในการวัดขนาดภายในและภายนอกของท่อได้อย่างแม่นยำ เวอร์เนียคาลิปเปอร์มีทั้งแบบดิจิตอลและแบบอนาล็อก ซึ่งสามารถวัดได้ทั้งเส้นผ่านศูนย์กลางภายใน (ID) และภายนอก (OD) โดยการใช้ปลายของเครื่องมือวัดสัมผัสกับขอบของท่อ เพื่อให้ได้ค่าที่ละเอียดและแม่นยำสูง.

ขั้นตอนการใช้งานท่อ Corrugated

1. เตรียมแบบเหล็กเสริมและตำแหน่งท่อ

  • วิศวกรจะระบุตำแหน่งและแนวการวางท่อล่วงหน้าในแบบโครงสร้าง
  • ท่อจะถูกตัดตามความยาวที่ต้องการ และ ดัดโค้งตามแนวโค้งของสายอัดแรง
  • ท่อจะถูกวางไว้เหนือเหล็กเสริมในตำแหน่งที่คำนวณไว้ เพื่อถ่ายแรงในแนวที่เหมาะสมที่สุด

2. ยึดและต่อท่อให้มั่นคง

  • ใช้ลวดผูกเหล็กหรือตัวรอง (Spacer) รองรับท่อให้แน่นหนา ไม่ให้ขยับขณะเทคอนกรีต
  • หากต้องต่อท่อยาว ควรใช้ Coupler หรือปลอกต่อแบบพิเศษ เพื่อไม่ให้รั่วซึมหรือเสียแนว

3. ใส่ลวดอัดแรง (Tendon) ภายในท่อ ก่อนหรือหลังการเทคอนกรีต สามารถใส่ลวด PC Strand เข้าไปในท่อได้ โดยต้องแน่ใจว่าเส้นลวดไม่ติดขัด


4. เทคอนกรีตรอบท่อ เทคอนกรีตโดยระวังไม่ให้ท่อเคลื่อนหรือเสียรูป  เมื่อลวดอยู่ในตำแหน่งและคอนกรีตแข็งตัวแล้ว ท่อจะถูกฝังอยู่ภายในเนื้อคอนกรีต


5. ดึงลวดอัดแรง (Post-Tensioning)

  • ใช้เครื่องดึงลวด (Stressing Jack) ดึงลวดให้ตึงตามแรงที่คำนวณไว้
  • การดึงลวดจะทำให้โครงสร้างมีความสามารถในการรับแรงมากขึ้น และลดการแตกร้าว

ตาราง: การใช้งาน ท่อ Corrugated Duct ในระบบ Post-Tensioned

ขั้นตอนรายละเอียดวัตถุประสงค์/ผลลัพธ์
1. เตรียมและวางท่อวางท่อคอลลูเกต ตามแนวสายอัดแรง บนเหล็กเสริมโดยใช้ลวดผูกหรือ Spacer รองไว้ให้มั่นคงวางแนวเส้นลวดอัดแรงตามแบบเพื่อเตรียมการเทคอนกรีต
2. เชื่อมต่อท่อต่อท่อด้วย Coupler หรือปลอกต่อแบบพิเศษ เพื่อให้แนวท่อต่อเนื่องและไม่รั่วป้องกันการรั่วซึมของปูนเกราท์ และให้ท่อมีความต่อเนื่องตลอดแนว
3. ใส่ลวดอัดแรง (Tendon)ใส่ลวดเหล็ก PC Strand เข้าไปในท่อ  (ทำได้ก่อนหรือหลังเทคอนกรีต)ให้ลวดอยู่ในแนวพร้อมสำหรับการดึงในภายหลัง
4. เทคอนกรีตเทคอนกรีตรอบท่อ โดยระวังไม่ให้ท่อเคลื่อนหรือยุบตัวฝังท่อไว้ในโครงสร้าง และเตรียมพื้นฐานให้ระบบพร้อมรับแรง
5. ดึงลวดอัดแรง (Stressing)ใช้แม่แรงดึงปลายลวดให้ตึงตามค่าที่วิศวกรกำหนดถ่ายแรงไปยังโครงสร้างคอนกรีต ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและลดการแตกร้าว
6. ฉีดปูนเกราท์ (Grouting)ฉีดปูนเกราท์เข้าไปในท่อให้เต็มทั่วแนวเพื่อยึดลวดและป้องกันสนิมเพิ่มความยึดเหนี่ยว ป้องกันการกัดกร่อน และเสริมความปลอดภัยระยะยาว

ท่อคอลลูเกตใช้อย่างไรในระบบ Post-Tensioned?

Corrugated Duct ในระบบ Post-Tensioned มีบทบาทสำคัญในการรองรับและเป็นแนวทางให้กับลวดอัดแรง (Tendon) ภายในโครงสร้างคอนกรีต ซึ่งระบบนี้ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของโครงสร้าง ทำให้สามารถรับน้ำหนักและทนต่อแรงดัดโค้งได้ดีกว่าคอนกรีตทั่วไป ท่อเหล็กลูกฟูกเคลือบสังกะสี มีลักษณะย่นเป็นคลื่นตลอดแนว มีตะเข็บต่อแบบ Double Seam Spiral ที่แข็งแรง ใช้เป็น ทางเดินของลวดเหล็กอัดแรง (PC Strand) ภายในพื้น, คาน หรือโครงสร้างสะพาน เมื่อทำการดึงลวดอัดแรงภายหลัง (Post-Tensioning) ท่อนี้จะถูกฝังอยู่ภายในคอนกรีตตลอดอายุการใช้งาน

ขั้นตอนการใช้งานอย่างละเอียดในระบบ Post-Tensioned

1. การวางท่อ

  • ท่อคอลลูเกตจะถูกตัดตามขนาดและดัดโค้งให้ตรงตามแนวเส้นทางของลวดแรงดึง
  • ท่อถูกติดตั้งบนโครงเหล็กเสริมโดยใช้ลวดผูกหรือ spacer ยึดให้อยู่กับที่
  • ต้องแน่ใจว่าแนวท่อตรงตามแบบวิศวกรรม เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการรับแรง

2. การต่อท่อ

  • ถ้าความยาวของท่อไม่พอ ต้องใช้ Coupler หรือปลอกต่อเหล็ก เชื่อมท่อให้ต่อเนื่อง
  • การต่อควรแน่นสนิท ไม่มีช่องว่าง เพื่อป้องกันการรั่วของปูนเกราท์ภายหลัง

3. การเทคอนกรีตรอบท่อ

  • เมื่อติดตั้งท่อเรียบร้อย จะทำการเทคอนกรีตครอบท่อ โดยท่อจะฝังอยู่ภายในโครงสร้าง
  • ต้องระวังไม่ให้ท่อเคลื่อนหรือเสียรูปขณะเท เพราะจะกระทบกับแนวลวด

4. การใส่ลวดแรงดึง (Tendon)

  • ใส่ลวดเหล็กแรงดึง PC Strand เข้าไปภายในท่อที่ฝังอยู่ในคอนกรีต
  • ต้องตรวจสอบว่าลวดเคลื่อนไหวได้ตลอดแนวท่อ ไม่มีสิ่งกีดขวาง

5. การดึงลวดอัดแรง (Stressing)

  • ใช้แม่แรงดึงปลายของลวดให้ตึงตามค่าที่กำหนดไว้
  • แรงดึงจะถูกถ่ายเข้าสู่คอนกรีตผ่านจุดยึดที่ปลายลวด ทำให้คอนกรีตต้านแรงดัดและแรงเฉือนเพิ่มขึ้น

การติดตั้งท่อในโครงสร้างท่อ Corrugated

การติดตั้งท่อในโครงสร้าง ก่อนเริ่มงาน ต้องวางท่อให้ตรงตามแนวลวดแรงดึงที่ออกแบบไว้ โดยจะวางอยู่บนเหล็กเสริมและยึดด้วยลวดผูกหรืออุปกรณ์รองรับ (Spacer) เพื่อไม่ให้เคลื่อนระหว่างการเทคอนกรีต หากความยาวไม่พอสามารถต่อท่อด้วย Coupler โดยต้องให้แน่นสนิท ไม่มีช่องรั่ว ป้องกันการสูญเสียของปูนเกราท์ในขั้นตอนต่อไป


การเทคอนกรีตรอบท่อ เมื่อวางท่อเสร็จเรียบร้อย จะทำการเทคอนกรีตให้ครอบคลุมท่อทั้งหมด ท่อจะฝังอยู่ภายในโครงสร้าง ซึ่งต้องระวังไม่ให้ท่อเคลื่อนหรือยุบตัว เพราะจะส่งผลต่อแนวเส้นลวดที่ต้องร้อยภายหลัง และอาจทำให้ไม่สามารถดึงลวดได้ตามแผนวิศวกรรม


การร้อยลวดอัดแรง หลังจากคอนกรีตแข็งตัว จะทำการใส่ลวดอัดแรง PC Strand เข้าไปในท่อคอลลูเกต ซึ่งสามารถทำได้ทั้งก่อนและหลังเทคอนกรีต ขึ้นอยู่กับระบบและวิธีการออกแบบ ลวดจะต้องสามารถเลื่อนผ่านท่อได้อย่างอิสระโดยไม่ติดขัด เพื่อให้สามารถดึงให้ตึงในขั้นตอนต่อไป

การดึงลวดแรงดึง (Stressing) เมื่อร้อยลวดเสร็จแล้ว จะใช้แม่แรงดึงลวดให้ตึงจากทั้งสองด้านของโครงสร้าง การดึงนี้จะสร้างแรงอัดกลับเข้าไปในคอนกรีต ช่วยลดการแตกร้าวและเพิ่มความสามารถในการรับน้ำหนัก จุดยึดที่ปลายลวดจะถ่ายแรงเข้าสู่คอนกรีตผ่านท่อที่อยู่ภายในโครงสร้าง


การฉีดปูนเกราท์และปิดท้ายระบบ ขั้นตอนสุดท้ายคือการฉีดปูนเกราท์เข้าไปในท่อ เพื่อเติมช่องว่างระหว่างลวดกับท่อให้แน่นสนิท ปูนเกราท์จะช่วยป้องกันสนิม เพิ่มการยึดเกาะ และยืดอายุการใช้งานของลวดอัดแรง ที่มีลอนและรอยต่อแน่นหนาจะช่วยให้ปูนกระจายตัวได้ดี ไม่รั่วซึม ทำให้ระบบ Post-Tensioned มีความสมบูรณ์และปลอดภัยในระยะยาว

วัสดุท่อ Corrugated หล็กชุบสังกะสี vs สแตนเลส – แบบไหนดีกว่า?

สำหรับงานระบบ Post-Tensioned Concrete หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาคือ วัสดุที่ใช้ผลิตท่อ ซึ่งมีผลโดยตรงต่ออายุการใช้งาน ความแข็งแรง และต้นทุนของโครงการ โดยวัสดุยอดนิยมที่ใช้อย่างแพร่หลายคือ เหล็กชุบสังกะสี (Galvanized Steel) และ สแตนเลส (Stainless Steel) ทั้งสองแบบมีข้อดี-ข้อเสียแตกต่างกัน บทความนี้จะช่วยเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดเจนว่าควรเลือกแบบใดให้เหมาะกับงานของคุณ


🔧 1. ความแข็งแรงทางกล

  • ทั้งเหล็กชุบสังกะสีและสแตนเลส มีความแข็งแรงสูง ทนต่อแรงอัดจากคอนกรีตได้ดี
  • อย่างไรก็ตาม สแตนเลสจะได้เปรียบในเรื่องของความแข็งแรงต่อการกัดกร่อนและแรงดึง, จึงเหมาะกับโครงการที่ต้องการอายุการใช้งานยาวนานในสภาวะแวดล้อมรุนแรง

🌧️ 2. ความทนทานต่อการกัดกร่อน

  • เหล็กชุบสังกะสี มีการเคลือบผิวเพื่อป้องกันสนิม แต่เมื่อถูกขูดหรือเสียหาย ผิวเคลือบอาจเสื่อม ทำให้เกิดสนิมได้ในระยะยาว
  • สแตนเลส (เช่น เกรด 304) มีคุณสมบัติกันสนิมในตัว เหมาะกับสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูง เช่น โครงสร้างใกล้ทะเลหรือพื้นที่เปียกชื้นตลอดเวลา

💰 3. ต้นทุนวัสดุ

  • เหล็กชุบสังกะสีมีราคาถูกกว่า เหมาะกับโครงการทั่วไปที่ต้องการประหยัดต้นทุน
  • สแตนเลสมีราคาสูงกว่า แต่อาจคุ้มค่าในระยะยาวหากต้องการลดการซ่อมแซมหรือยืดอายุการใช้งานของโครงสร้าง